top of page
ค้นหา

ส่องนโยบายการท่องเที่ยว-โรงแรมไทย ของรัฐมนตรีศุภจี: ท้าทายหรือโอกาสสำหรับเจ้าของโรงแรม

  • รูปภาพนักเขียน: mahasajan hotel
    mahasajan hotel
  • 3 ต.ค.
  • ยาว 3 นาที


ree

สิ่งที่แปลกตาเบื้องหลังแผนอันยิ่งใหญ่


เมื่อรัฐมนตรีศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประกาศยุทธศาสตร์ Re-branding ประเทศไทยด้วย "Green Tourism, Creative Tourism และ Smart Tourism" พร้อมเป้าหมายการสร้างรายได้ 3 ล้านล้านบาทจากนักท่องเที่ยว 39 ล้านคน ฟังดูเหมือนแผนที่น่าประทับใจและทันสมัย


แต่เมื่อมองดูตัวเลขจริงในครึ่งปีแรก 2025 กลับพบว่าไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพียง 16.7 ล้านคน สร้างรายได้ 1.34 ล้านล้านบาท ซึ่งหมายความว่าเราต้องดึงนักท่องเที่ยวอีก 22.3 ล้านคนในครึ่งปีหลัง - เป็นไปได้หรือไม่?


ที่น่าสนใจกว่านั้นคือค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวลดลงจาก 48,900 บาทในปี 2019 เป็น 47,000 บาทในปี 2025 และระยะเวลาพำนักสั้นลงจากเดิม 9 วัน ขณะที่การแข่งขันจากญี่ปุ่น เวียดนาม และสิงคโปร์กำลังทวีความรุนแรงขึ้น


คำถามสำคัญคือ นโยบายใหม่นี้จะช่วยแก้ปัญหาที่แท้จริงของอุตสาหกรรมโรงแรมไทยได้จริงหรือ หรือเป็นแค่การใส่เสื้อใหม่ให้กับปัญหาเก่า?


ข้อมูลที่เป็นความจริง: สถานการณ์ที่เราต้องเผชิญ การแข่งขันในภูมิภาคที่รุนแรงขึ้น


ญี่ปุ่นกำลังเติบโตแซงหน้าไทยในครึ่งปีแรก 2025 ประเทศดวงอาทิตย์อุทัยมีนักท่องเที่ยว 21.5 ล้านคน เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อน ขณะที่ไทยมีเพียง 16.69 ล้านคน ลดลง 6% จากปีก่อน เหตุผลความสำเร็จของญี่ปุ่นมาจากโครงสร้างพื้นฐานที่เหนือกว่า ระบบขนส่งที่สะดวก เงินเยนอ่อนตัวทำให้ค่าใช้จ่ายถูกลง และความปลอดภัยที่เป็นที่ยอมรับ


จีนกลายเป็นทั้งลูกค้าใหญ่และคู่แข่งที่น่าเกรงขาม นักท่องเที่ยวจีนมาไทยลดลง 35% ในครึ่งปีแรก 2025 ขณะที่จีนเองลงทุนหนักเพื่อดึงนักท่องเที่ยวสู่ประเทศตน การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงความจริงที่ว่าไทยไม่ใช่ "The Choice" อีกต่อไป แต่กลายเป็นเพียง "An Option" ในบรรดาตัวเลือกมากมาย


สถานการณ์โรงแรมไทยปัจจุบัน


ข้อมูลจากกรุงเทพฯ ครึ่งปีแรก 2025 แสดงให้เห็นความท้าทายที่ชัดเจน อัตราการเข้าพักลดลง 3.7% เหลือ 75.1% แม้ราคาห้องเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 4,260 บาท แต่โรงแรมใหม่เปิดตัวมากกว่า 5,100 ห้องในปี 2025 ทำให้การแข่งขันทวีความรุนแรง


ภูเก็ตอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากยิ่งกว่า อัตราการเข้าพักเพียง 59% ลดจาก 72% ปีก่อน และราคาห้องเฉลี่ย 2,394 บาท ลดจาก 2,746 บาทปีก่อน สถานการณ์ในช่วง Low Season รุนแรงกว่าหลายปีที่ผ่านมา โรงแรมที่ยังทำผลงานได้ดีคือที่สามารถเจาะตลาดอินเดียและตะวันออกกลาง


เสียงจากผู้ประกอบการ: ความจริงที่ไม่มีใครพูด เจ้าของโรงแรมขนาดเล็ก-กลาง: ติดอยู่ในกับดักระบบราชการ


คุณสมชาย เจ้าของโรงแรม 120 ห้องในจังหวัดลำปาง เล่าถึงความยุ่งยากในการขออนุญาตเปิดโรงแรมว่า "ต้องไปหลายหน่วยงาน ใช้เวลา 6 เดือน ค่าใช้จ่าย 200,000-300,000 บาท ยังไม่รวมค่าก่อสร้าง"


ปัญหาหลักอยู่ที่การต้องขออนุญาตจากหลายหน่วยงานซ้ำซ้อน ทั้งสาธารณสุข สิ่งแวดล้อม และก่อสร้าง โดยใช้เวลาประมาณ 6 เดือน มีค่าใช้จ่าย 100,000-300,000 บาทไม่รวมการก่อสร้าง ต้องมีสถาปนิกหรือวิศวกรผู้รับอนุญาตลงนาม และต้องมีกรรมการไทยเซ็นเอกสาร ระบบ One Stop Service ที่รัฐบาลสัญญาไว้หลายสมัยยังไม่เกิดขึ้นจริง


โรงแรมเมืองรอง: โอกาสที่ยังไม่เป็นจริง


รัฐมนตรีศุภจียกตัวอย่างพัทลุงเป็นโมเดลที่ประสบความสำเร็จ แต่ความสำเร็จนี้เกิดจากการมีกิจกรรมประชุมสัมมนาที่บังคับให้คนต้องค้างคืน ไม่ใช่จากการท่องเที่ยวธรรมดา ความท้าทายของเมืองรองยังคงเป็นการขาดโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ห้องน้ำ ถนน ไฟฟ้า การเข้าถึงยากลำบาก และขาดความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก


ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นปัญหาเก่าแก่ที่ทุกรัฐบาลพูดถึง แต่ไม่มีใครสามารถแก้ไขได้อย่างจริงจัง เพราะต้องการการประสานงานระหว่างหลายหน่วยงาน ตั้งแต่กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย ไปจนถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น


ผู้ประกอบการรุ่นใหม่: อยากทำแต่ติดขัด


คุณณัฐ เจ้าของเกสต์เฮาส์ 8 ห้องในเชียงใหม่ อายุ 28 ปี เป็นตัวแทนของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์ เขาบอกว่า "อยากทำ Green Tourism แต่ต้นทุนการลงทุนระบบพลังงานสะอาดสูงมาก ขาดการสนับสนุนจากรัฐ"


ผู้ประกอบการรุ่นใหม่เหล่านี้มีความเข้าใจเรื่อง Social Media และ Content Marketing แต่ขาดเงินทุนในการลงทุนเทคโนโลยีสีเขียว พวกเขาพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง แต่ต้องการการสนับสนุนที่เป็นรูปธรรมจากรัฐ ไม่ใช่เพียงแค่นโยบายบนกระดาษ


วิเคราะห์นโยบาย: ดีบนกระดาษ แต่พลาดจุดสำคัญ

Green Tourism: ทิศทางที่ถูก แต่ขาดการสนับสนุน


Green Tourism เป็นทิศทางที่ถูกต้อง Green Hotel Plus ได้รับการรับรองมาตรฐาน GSTC แล้ว และมีความต้องการจากนักท่องเที่ยวยุโรปที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ EU กำลังบังคับให้โรงแรมต้องมีใบรับรองความยั่งยืนภายใน 2026 ซึ่งหมายความว่าโรงแรมไทยที่ไม่ปรับตัวจะสูญเสียลูกค้ายุโรป


แต่ปัญหาคือโรงแรมไทยที่ได้รับรองสากลยังมีน้อยมาก ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ และภูเก็ตเท่านั้น การขาด Tax Incentive ที่ชัดเจนสำหรับการลงทุนพลังงานสะอาดทำให้ผู้ประกอบการลังเลใจในการลงทุน โรงแรมขนาดกลาง 200 ห้อง ผลิตขยะอาหาร 100 กิโลต่อวัน แต่ขาดระบบจัดการที่มีประสิทธิภาพ


Creative Tourism: ไอเดียดี แต่ขาดการเชื่อมโยง


ไทยมี Soft Power ที่หลากหลาย ตั้งแต่อาหาร วัฒนธรรม ไปจนถึงกีฬา คนรุ่นใหม่เก่งเรื่อง Content Marketing และต้นทุนการทำ Content ลดลงจากเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่ปัญหาคือขาดการเชื่อมโยงระหว่างเมืองหลักกับเมืองรอง และโครงสร้างพื้นฐานในเมืองรองยังไม่พร้อม


การที่รัฐมนตรีศุภจีพูดถึงการใช้ Application Platform เพื่อรวบรวม Content จากชุมชนท้องถิ่นเป็นไอเดียที่ดี แต่การนำไปปฏิบัติต้องการการประสานงานระหว่างหน่วยงานหลายแห่ง และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในพื้นที่ห่างไกล


Smart Tourism: เทคโนโลยีไม่ใช่ปัญหา แต่ระบบเป็นปัญหา


Thailand Green Tourism Plan 2030 เป็นแผนที่ครอบคลุม มีเป้าหมาย 70% ของธุรกิจท่องเที่ยวได้รับ STAR Accreditation ภายใน 2026 การใช้ QR Code เพื่อให้ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวหลายภาษา การใช้ IoT Sensors เพื่อตรวจสอบจำนวนนักท่องเที่ยวและระบบ SOS ล้วนเป็นเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้ว


แต่อุปสรรคใหญ่คือระบบ One Stop Service ยังไม่เกิดขึ้นจริง ระบบราชการยังซ้ำซ้อน และการขาดการประสานงานระหว่างหน่วยงาน การที่โรงแรมต้องขออนุญาตจากหลายหน่วยงานด้วยเอกสารชุดเดียวกันแสดงให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยี แต่อยู่ที่ระบบและกระบวนการทำงาน


ผลกระทบต่อภูมิภาคต่างๆ

กรุงเทพฯ และปริมณฑล: ได้เปรียบแต่แข่งขันสูง


กรุงเทพฯ ยังคงเป็นจุดเชื่อมต่อหลักของการท่องเที่ยว มีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมและได้รับผลดีจาก MICE Tourism แต่ต้องเผชิญกับการแข่งขันสูงจากโรงแรมใหม่มากกว่า 5,100 ห้อง และต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้น โดยค่าแรงขั้นต่ำปรับเป็น 400 บาทตั้งแต่กรกฎาคม 2025


ภาคเหนือ: ศักยภาพสูง แต่ขาดการเชื่อมโยง


เชียงใหม่และลำปางมีเอกลักษณ์วัฒนธรรมลานนา ระยะทางไม่ไกลจากกรุงเทพฯ และมีศักยภาพใน Creative Tourism สูง แต่การคมนาคมระหว่างเมืองยังไม่สะดวก และโรงแรมขนาดเล็กขาดมาตรฐาน การที่เที่ยวบินเชียงใหม่-แม่ฮ่องสอนหยุดบิน ทำให้การเข้าถึงเมืองรองยากขึ้น


ภาคใต้: ทรัพยากรธรรมชาติดี แต่พึ่งพาต่างชาติมาก


ภูเก็ต พัทลุง ชุมพร มีทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงาม ติดทะเล เหมาะกับ Beach Tourism แต่พึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติมากเกินไป ภูเก็ตประสบปัญหาการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเวียดนามที่มีภาพลักษณ์ใหม่และต้นทุนที่ถูกกว่า


ภาคอีสาน: โอกาสใหม่ที่ยังซ่อนอยู่


ภาคอีสานมีค่าใช้จ่ายต่ำ วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ และใกล้ประเทศเพื่อนบ้าน แต่โครงสร้างพื้นฐานยังไม่เพียงพอและขาดการประชาสัมพันธ์ หากสามารถพัฒนาเส้นทางรถไฟเชื่อมโยงกับลาวและกัมพูชาได้ จะกลายเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญ


อนาคต 3 ปีข้างหน้า: สิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

2026: ปีแห่งการปรับตัวบังคับ


EU จะบังคับใช้กฎ Corporate Sustainability Due Diligence Directive ทำให้โรงแรมที่ไม่มีใบรับรองสิ่งแวดล้อมจะสูญเสียลูกค้ายุโรป ระบบ Super License อาจเริ่มใช้งานถ้า Accommodation Act ผ่านการพิจารณา ซึ่งจะช่วยลดความซ้ำซ้อนในการขออนุญาต


2027: ปีแห่งการแข่งขันระดับภูมิภาค


ญี่ปุ่นและเวียดนามจะมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีกว่าไทย จีนจะกลับมาเป็นตลาดสำคัญ แต่พฤติกรรมเปลี่ยนไป โดยมาน้อยวันและใช้จ่ายน้อยลง การท่องเที่ยวแบบ "Less for More" จะกลายเป็นเทรนด์หลัก


2028: จุดเปลี่ยนสำคัญ


การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจะเติบโตขึ้นอย่างมาก เมืองรองที่มีความพร้อมจะเริ่มประสบความสำเร็จ การร่วมมือแบบ Multi-destination Package ระหว่างไทย-ลาว-กัมพูชาอาจเกิดขึ้นจริง


ความเสี่ยงที่ต้องระวังคือความไม่แน่นอนทางการเมือง นโยบายอาจเปลี่ยนแปลงเมื่อมีรัฐบาลใหม่ ความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานต่างๆ ปัญหา Over-tourism ในพื้นที่เปราะบาง และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ


คำแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับเจ้าของโรงแรม

โรงแรมขนาดเล็ก: เริ่มจากสิ่งที่ทำได้


สำหรับโรงแรมขนาดเล็กต่ำกว่า 50 ห้อง การเตรียมความพร้อมสำหรับ Green Certification เป็นสิ่งแรกที่ควรทำ การลงทุนโซลาร์เซลล์ขนาดเล็กจะมี ROI ประมาณ 5-7 ปี การปรับระบบจัดการขยะอาหารและการอบรมพนักงานเรื่อง Mindset สิ่งแวดล้อมไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก


การพัฒนา Content Marketing โดยการร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่น การสร้าง Story ที่เป็นเอกลักษณ์ และการใช้ Social Media เพื่อเพิ่มการมองเห็น เป็นสิ่งที่โรงแรมขนาดเล็กสามารถทำได้ดีกว่าโรงแรมใหญ่ เพราะมีความยืดหยุ่นและใกล้ชิดกับชุมชน


ในระยะยาว 3-5 ปี ควรเตรียมรับ Digital Transformation ด้วยการติดตั้งระบบ QR Code สำหรับข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว การใช้ AI ในการจัดการการจอง และการพัฒนา Mobile Application แต่ไม่จำเป็นต้องลงทุนในเทคโนโลยีที่แพงที่สุด


โรงแรมขนาดกลาง: มุ่งสู่ความเป็นผู้นำ


โรงแรมขนาดกลาง 50-200 ห้อง ควรมุ่งสู่ Green Hotel Plus Certification ด้วยงบประมาณประมาณ 1-3 ล้านบาท ซึ่งจะประหยัดค่าไฟฟ้า 20-30% ภายใน 2 ปี และเข้าถึงนักท่องเที่ยวยุโรปที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม


การเตรียมรับนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพโดยการเชื่อมโยงกับโรงพยาบาลหรือคลินิก การพัฒนา Package ครบวงจร เป็นโอกาสที่ดี เพราะลูกค้าเหล่านี้ใช้จ่ายสูงและอยู่นานกว่า การสร้างความร่วมมือกับโรงแรมอื่นในการทำการตลาด การแลกเปลี่ยนลูกค้า และการลดต้นทุนการดำเนินงานจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ


โรงแรมขนาดใหญ่: เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง


โรงแรมขนาดใหญ่มากกว่า 200 ห้อง ควรเป็นผู้นำในการทำ Sustainability ด้วยการลงทุนระบบพลังงานทดแทนขนาดใหญ่ การจัดการขยะอาหาร 300 กิโลต่อวันให้เป็นปุ๋ย เพื่อได้รับ Tax Incentive จากรัฐ


การพัฒนาเป็น MICE Destination ด้วยการลงทุนระบบ Smart Technology การเชื่อมโยงกับสนามบิน รถไฟ และการร่วมมือกับ International Brand จะช่วยสร้างความได้เปรียบการแข่งขัน โรงแรมขนาดใหญ่มีทรัพยากรที่จะเป็นต้นแบบให้กับโรงแรมขนาดเล็ก


ข้อสรุป: โอกาสอยู่ที่การปรับตัว ไม่ใช่การรอนโยบาย


นโยบายของรัฐมนตรีศุภจีมีทิศทางที่ถูกต้อง แต่ปัญหาอยู่ที่การนำไปปฏิบัติ การที่ระบบราชการยังซ้ำซ้อน ระบบ One Stop Service ยังไม่เกิดขึ้นจริง และการขาด Tax Incentive ที่ชัดเจน ทำให้นโยบายดีๆ กลายเป็นเพียงคำพูด


สำหรับเจ้าของโรงแรม สิ่งสำคัญคืออย่ารอนโยบาย เริ่มปรับตัวเดี๋ยวนี้ โดยเฉพาะเรื่อง Green Certification ซึ่งจะกลายเป็นข้อบังคับใน 2026 การโฟกัสตลาดเฉพาะกลุ่มแทนการแข่งขันด้านราคา เช่น นักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพหรือนักท่องเที่ยวที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม จะสร้างความยั่งยืนมากกว่า


การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างโรงแรมในพื้นที่เดียวกัน เพื่อแบ่งปันต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ และการลงทุนในเทคโนโลยีที่เหมาะสม ไม่จำเป็นต้องเป็นเทคโนโลยีที่แพงที่สุด แต่ต้องตอบโจทย์ลูกค้า


อุตสาหกรรมโรงแรมไทยอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ การปรับตัวในครั้งนี้ไม่ใช่แค่การรอดพ้นจากวิกฤต แต่เป็นโอกาสในการสร้างความได้เปรียบการแข่งขันระยะยาวในตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ความสำเร็จจะขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนจากการแข่งขันด้านราคาและปริมาณ มาสู่การสร้างคุณค่าและประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์


นโยบายของรัฐมนตรีศุภจีเป็นเพียงกรอบทิศทาง ความสำเร็จที่แท้จริงจะเกิดขึ้นจากการกระทำของผู้ประกอบการแต่ละรายที่เลือกที่จะปรับตัวและนำทางการเปลี่ยนแปลง แทนที่จะรอให้ใครมาช่วย



อยากให้ทีมมืออาชีพวางแผนให้ → H+Hotel Plus ช่วยได้ ปรึกษาฟรี!


พิเศษ! สามารถนัดพบทีมที่ปรึกษา H+ Hotel Plus ได้ที่งาน Scale Fast Business Accelerator Summit 2025

วันอังคารที่ 30 กันยายน 2568

พร้อมสิทธิพิเศษสำหรับท่านที่ทำการจองนัดหมาย คลิ้กลงทะเบียนด้านล่างได้เลย




 
 
 

ความคิดเห็น


H+ Hotel Plus ที่ปรึกษาโรงแรม
ระบบบริหารโรงแรม ผู้ช่วยโรงแรมมืออาชีพ

ทำให้การบริหารโรงแรมเป็นเรื่องง่าย

ผู้ช่วยมืออาชีพสำหรับเจ้าของโรงแรมในการดำเนินงานในด้านการขาย เพื่อยอดจองห้องพักออนไลน์ วางแผนการขายห้องพัก ทำการตลาดและประชาสัมพันธ์

ติดต่อสอบถาม

(+66)82 898 9369

อีเมล์

info@hotelplus.asia

สถานที่ทำการ

92/5 2nd floor, Sathorn Thani 2 Building

เมนูหลัก

รับข่าวสารใหม่ ๆ

เพื่อให้คุณนั้นจะได้ไม่พลาดข่าวสาร และ กิจกรรมใหม่ๆ หรือ แพ็คเกจโปรโมชั่นพิเศษจากเรา

Thanks for subscribing!

Copyright © 2023 by Hotelplus.asia All Right Reserved.

bottom of page